top of page

Search Results

พบ 11 ผลลัพธ์เมื่อไม่ระบุค่าการค้นหา

  • ช็อคโกแลตซิกเนเจอร์ของ เลอ บอนเนอร์

    ที่เลอ บอนเนอร์ ปาติสเซอรี ช็อกโกแลตเป็นมากกว่าเพียงแค่รสชาติ แต่เป็นภาษาที่สื่อความหมายได้อย่างล้ำลึก ซึ่งช่วยถ่ายทอดผ่านความทรงจำ ศิลปะ และอารมณ์ ช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของเรานำเสนอในรูปแบบของดาร์กช็อคโกแลต 75% เป็นผลจากความพยายามในการสำรวจ ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์แห่งรสสัมผัส และความตั้งใจในการผสมผสานเฉกเช่นงานฝีมือ ช็อกโกแลตนี้เริ่มต้นการคัดสรรค์ช็อคโกแลตที่ได้จากโกโก้ที่ดีที่สุดจาก 10 แหล่งปลูกทั่วโลก ซึ่งแต่ละแหล่งได้รับการคัดเลือกไม่เพียงแต่เพราะความเป็นเลิศในตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงที่เอกลักษณ์ที่ถ่ายทอดออกมาราวกับวงซิมโฟนีบรรเลงเพลงร่วมกันอีกด้วย บางแหล่งให้ความสว่างสดใสของดอกไม้ บางสายพันธุ์ให้สัมผัสเหมือนผ่านการคั่วอย่างล้ำลึก แต่เมื่อนำมารวมกันแล้ว ช็อกโกแลตเหล่านี้จะสร้างโปรไฟล์ที่ลึกซึ้ง ชัดเจน และมีชีวิตชีวาจนน่าหลงใหล การสร้างสรรค์อันประณีตนี้เป็นหัวใจสำคัญของช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ร้อนอันเลื่องชื่อของเรา โดยเสิร์ฟในกาพอร์ซเลน เทลงในแก้วช็อคโกแลตบนโต๊ะอย่างเบามือเพื่อปลุกกลิ่นหอมที่โชยมาและเชิญชวนให้ดื่มด่ำไปกับประสบการณ์ เป็นมากกว่าเครื่องดื่ม ดั่งความสบาย ความสง่างาม และความหรูหราอันเงียบสงบของรสชาติที่เผยออกมาด้วยความตั้งใจและสง่างาม การผสมผสานรสสัมผัสจาก 10 แหล่งปลูกโกโก้ที่ดีที่สุดของโลก ช็อกโกแลตจากแหล่งกำเนิดเฉพาะตัวของ 10 ประเทศที่รวมในส่วนผสมของเราได้รับการคัดเลือกด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่เพียงเพื่อความเป็นเลิศเท่านั้น แต่ยังเพื่อสัมผัสอันโดดเด่นที่ส่งเสริมให้เกิดความกลมกลืนที่มากขึ้น นี่คือผลงาน เป็นประสบการณ์ที่ได้รับการออกแบบอย่างตั้งใจ ด้วยแรงบันดาลใจจากวิทยาศาสตร์แห่งการรับรู้รสชาติ เราสร้างสมดุลระหว่างความขม ความหวาน ความเป็นกรด และความอูมามิด้วยการผสมผสานโกโก้จากทั่วโลกเข้าด้วยกัน ทำให้แต่ละแหล่งกำเนิดสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ในขณะที่เพิ่มความรู้สึกสะท้อนร่วมกัน: โปรไฟล์ช็อคโกแลตจาก 10 แหล่งปลูกในโลก ที่ผสานผสานอยู่ในช็อคโกแลตซิกเนเจอร์ ของ เลอ บอนเนอร์ ผลลัพธ์คือช็อกโกแลตที่เผยออกมาเป็นชั้นๆ โดยมีความสว่างสดใสละเอียดอ่อนที่จุดเริ่มต้น เปลี่ยนเป็นความซับซ้อนคล้ายการคั่ว และคงอยู่ด้วยรสชาติที่อบอุ่นและขมหวาน ช็อคโกแลตซิกเนเจอร์ร้อนที่รินจากกาสู่แก้ว เสิร์ฟคู่กับครีมวานิลลามาดากัสการ์ 75% ในช็อกโกแลตดาร์กหมายถึงอะไร '75%' หมายถึงเปอร์เซ็นต์ของปริมาณโกโก้ในช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของเรา ซึ่งรวมถึงทั้งโกโก้แข็ง (ซึ่งทำให้ช็อกโกแลตมีรสชาติและสี) และเนยโกโก้ (ไขมันตามธรรมชาติ) ส่วนที่เหลืออีก 25% ประกอบด้วยน้ำตาลและวานิลลาหรืออิมัลซิไฟเออร์เล็กน้อย ช็อกโกแลต 75% ให้ความสมดุลที่เหมาะสม: มีลักษณะโกโก้เข้มข้น น้ำตาลต่ำ และมีกลิ่นหอมที่ซับซ้อน ช่วยให้เราแสดงความแตกต่างของแหล่งกำเนิดทั้ง 10 แห่งของเราได้ในขณะที่มอบความรู้สึกที่นุ่มนวลและน่าลิ้มลอง รากเหง้าทางวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ในฝรั่งเศส ช็อกโกแลตชอด์ (Chocolat Chaud หรือ ช็อคโกแลตร้อน) เป็นสัญลักษณ์ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ความวิจิตรงดงาม และความสุขทางประสาทสัมผัสอีกด้วย ต้นกำเนิดของช็อกโกแลตย้อนไปถึงศตวรรษที่ 17 เมื่อช็อกโกแลตมาถึงราชสำนักฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก ซึ่งในช่วงแรกบริโภคเพื่อคุณสมบัติทางยาและยาปลุกอารมณ์ทางเพศ แอนน์แห่งออสเตรีย ราชินีสเปนในพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ได้นำช็อคโกแลตมายังฝรั่งเศสเพื่อเป็นของขวัญในวันแต่งงาน และกลายเป็นเครื่องดื่มของชนชั้นสูงอย่างรวดเร็ว โดยได้รับความนิยมเพราะรสสัมผัสที่มีความเข้มข้น ความสง่างาม และความหรูหราอันลึกลับ ในสมัยรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ช็อกโกแลตร้อนได้กลายเป็นเครื่องดื่มประจำพระราชวังแวร์ซาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศ มักดื่มกันในมื้อเช้าและในงานเลี้ยงตอนบ่าย ซึ่งแตกต่างจากช็อกโกแลตร้อนที่มีน้ำตาลและนมมากในปัจจุบัน ช็อกโกแลตร้อนแบบฝรั่งเศสคลาสสิกนี้ใช้ดาร์กช็อกโกแลตบริสุทธิ์ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีโกโก้ 60–70% ละลายช้าๆ ในนมสดหรือครีม ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องดื่มที่มีรสชาติเข้มข้น นุ่มละมุน หวานอมขมเล็กน้อย โดยไม่กระทบต่อความสมบูรณ์ของโกโก้ มากกว่าแค่ความฟุ่มเฟือยธรรมดา ช็อกโกแลตร้อนเป็นเครื่องดื่มที่แสดงถึงความสง่างามและวัฒนาธรรม และยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ ถ้วยเซรามิก ไอระเหยและกลิ่นหอมที่ลอยขึ้น ก่อนการจิบครั้งแรก สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีความสำคัญ ช็อกโกแลตร้อนแบบฝรั่งเศสสื่อถึงความสง่างามและประเพณีอันเรียบง่าย ชวนให้นึกถึงงานเลี้ยงในชั้นเรียน ร้านกาแฟที่เงียบสงบ และจังหวะที่ไร้กาลเวลาของกิจวัตรในตอนเช้า ที่ร้าน Le Bonheur ช็อกโกแลตร้อนสูตรพิเศษของเราถือเป็นการสร้างสรรค์ให้กับมรดกแห่งวัฒนธรรมนี้ เราเริ่มต้นด้วยการผสมช็อกโกแลตจากแหล่งกำเนิดทั้ง 10 ประเทศ ซึ่งแต่ละชนิดไม่ได้ถูกเลือกเพียงเพราะรสชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาด้วย ตั้งแต่ผืนป่าดงดิบในอเมริกาใต้ไปจนถึงป่าแห่งแอฟริกา ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องดื่มที่เชิดชูความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของช็อกโกแลตร้อนพร้อมทั้งยังผสมผสานงานฝีมือสมัยใหม่เข้าไปด้วย จึงปฏเสธไม่ได้ว่าช็อคโกแลตร้อนเป็นเครื่องดื่มที่แสดงถึงสถานที่ ความทรงจำ และความหรูหรา ผ่านความเงียบสงบของเวลาที่ใช้ไปอย่างคุ้มค่า สรุปโปรไฟล์ช็อคโกแลตซิกเนเจอร์ของ เลอ บอนเนอร์ โปรไฟล์ช็อคโกแลตซิกเนเจอร์ของ เลอ บอนเนอร์ สัมผัสของช็อคโกแลตซิกเนเจอร์ในแต่ละเฟสของการรับรสสัมผัส ช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของเลอ บอนเนอร์ มีกลิ่นที่หอมละมุนตั้งแต่กลิ่นดอกไม้และผลไม้ไปจนถึงกลิ่นถั่ว กลิ่นไม้ และกลิ่นโกโก้ที่เข้มข้น พร้อมกลิ่นเครื่องเทศและกลิ่นดินที่บางเบา กลิ่นหอมของช็อกโกแลตให้กลิ่นหอมสดชื่นของส้ม ผลไม้แห้ง และถั่วคั่ว ผสมผสานกับกลิ่นควันอ่อนๆ เมื่อสัมผัสลิ้น เนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุนจะละลายอย่างนุ่มนวล กลายเป็นรสชาติที่ยาวนานและอบอุ่น โดยยังคงกลิ่นโกโก้ไว้ด้วยกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ ซึ่งช็อกโกแลตที่ผสมผสานอย่างลงตัวนี้ช่วยปรับสมดุลของความเป็นกรด ความขม และความหวานให้สมดุล เพื่อให้ได้รสชาติที่เต็มอิ่มและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะที่สุดที่จะดื่มเป็นเครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนที่เสิร์ฟในกา ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและหรูหรา แสดงออกถึงความเป็นเลิศของงานฝีมือที่เหนือกาลเวลา รสสัมผัสของช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของเลอ บอนเนอร์ รสสัมผัสในแต่ละเฟสของช็อคโกแลตซิกเนเจอร์ แผนที่ภาพนี้แสดงวิวัฒนาการของรสชาติตลอดกระบวนการดื่มด่ำกับช็อคโกแลตของ เลอ บอนเนอร์ ตั้งแต่กลิ่นส้มและเบอร์รี่สีแดง ที่สดชื่นและมีชีวิตชีวา อัลมอนด์คั่ว และโกโก้เข้มข้น ไปจนถึงกลิ่นไม้เครื่องเทศ ความอบอุ่นจากดอกไม้ และกลิ่นควันอ่อนๆ การตีความรสสัมผัสของช็อคโกแลตซิกเนเจอร์ ลำดับของการรับรู้รสชาติที่เป็นระบบนี้ช่วยให้ช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ ของ เลอ บอนเนอร์ ถ่ายทอดเรื่องราวที่กระตุ้นความรู้สึกได้ ซึ่งเริ่มต้นด้วยความสดใสและมีชีวิตชีวา พัฒนาไปสู่ความลุ่มลึกและเต็มอิ่ม และจบลงด้วยความซับซ้อนและความสง่างามในรสสัมผัส โครงสร้างผ่านสัมผัสดังกล่าวทำให้ช็อกโกแลตนี้ไม่เพียงแต่เหมาะสำหรับการดื่มด่ำเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับการชิมเพื่อการเรียนรู้ ประสบการณ์การจับคู่ และการเล่าเรื่องราวการทำอาหารอีกด้วย โครงสร้างของประสบการณ์ทางรสสัมผัส รสชาติไม่ใช่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วขณะ แต่เป็นการเดินทางผ่านความที่เคลื่อนไหวในประสาทสัมผัส แผ่ขยายไปทั่วเพดานปากเหมือนกับบทเพลงที่บรรเลงผ่านกาลเวลา ในขณะที่การเดินทางแห่งรสชาติเผยให้เห็นลำดับของโน้ตผ่านสัมผัส โครงสร้างของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสจะสำรวจว่าสมองตีความการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอย่างไร โดยมีการคาดหวัง ความเข้มข้น การตัดสินใจ และเสียงสะท้อนทางอารมณ์ ตั้งแต่จิบแรก ช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของเราก็เปล่งประกายความสดใส กลิ่นส้มและผลไม้สดที่กระตุ้นประสาทสัมผัส นี่ไม่ใช่แค่รสชาติเท่านั้น แต่มันคือความคาดหวังที่ได้รับ เมื่อความอบอุ่นแพร่กระจายและช็อกโกแลตเคลือบลิ้น กลางเพดานปากจะเข้าสู่ช่วงไคลแม็กซ์: ลึก คั่ว และก้องกังวาน เนื้อสัมผัสของถั่ว เครื่องเทศที่ละเอียดอ่อน และความซับซ้อนของไม้สร้างเป็นชั้นๆ ในองค์ประกอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คล้ายกับความสุขมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ และแล้วความจางหายก็มาถึง ไม่ใช่การหายไป แต่เป็นการคงอยู่ชั่วในสัมผัสสุดท้าย แทนนินของโกโก้ ความขมเล็กน้อย ไอระเหยของดอกไม้ และความหวานที่นุ่มนวลจากความทรงจำค่อยๆ ลดลงพร้อมกับความรู้สึกพึงพอใจ ในทางวิทยาศาสตร์นี่คือจุดที่เสียงสะท้อนของรสชาตินั้นแรงที่สุด เมื่อสมองบันทึกรสชาติเป็นเรื่องราว ทำให้ประสบการณ์นั้นกลายเป็นสิ่งที่มากกว่าความอร่อย แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่มีความหมายในความทรงจำ ปัจจัยเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของเราไม่เพียงแต่สร้างความทรงในรสสัมผัสเท่านั้น แต่ยังคงทนกลายเป็นความทรงจำอีกด้วย มีโครงสร้างที่จะขึ้นและลงอย่างกลมกลืน ออกแบบมาไม่เพียงแต่เพื่อให้ชิมเท่านั้น แต่ยังสร้างความทรงจำได้อีกด้วย กราฟแสดงการรับสัมผัสของรสชาติ กราฟแสดงการรับสัมผัสของรสชาติ กราฟแสดงให้เห็นว่ารสชาติจะค่อยๆ เผยออกมาเมื่อเวลาผ่านไป เริ่มต้นด้วยโทนดอกไม้และผลไม้อ่อนๆ คล้ายผลเบอร์รี่ป่าสีแดง ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเป็นรสชาติคล้ายถั่วคั่วที่เข้มข้นและเข้มข้นของโกโก้ ก่อนจะค่อยๆ ลดลงจนกลายเป็นรสชาติสุดท้ายที่หอมละมุน วิทยาศาสตร์ของการรับสัมผัสในรสชาติ ช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของเราได้รับการออกแบบมาโดยใช้ความรู้จากศาสตร์ของประสาทวิทยา ซึ่งเป็นศาสตร์สหวิทยาการที่ศึกษาว่าสมองตีความรสชาติอย่างไร โดยได้รับการออกแบบให้เป็นการเดินทางของประสาทสัมผัสหลายประสาทสัมผัสมากกว่ารสชาติที่คงที่ ประสบการณ์เริ่มต้นที่เพดานปากด้านหน้า ซึ่งเป็นจุดที่ความหวานและความเป็นกรดสัมผัสกันเป็นครั้งแรก ปลุกเร้าต่อมรับรสที่ลิ้นด้วยกลิ่นผลเบอร์รี่สีแดงและกลิ่นส้ม เมื่อช็อกโกแลตละลายและเคลื่อนที่ผ่านลิ้น ส่วนผสมของความขมและอูมามิจะกระตุ้นตัวรับตามส่วนหลังและด้านข้าง ทำให้รสชาติเข้มข้นขึ้นด้วยโทนกลิ่นคั่ว กลิ่นดิน และกลิ่นโกโก้ เส้นบนกราฟของความเข้มข้นของรสชาตินี้ จะแสดงให้เห็นถึงการรับสัมผัสที่ค่อยๆ ขึ้นจากกลิ่นดอกไม้อันละเอียดอ่อนและโน๊ตสูง ค่อยๆ ขึ้นสู่จุดสูงสุดที่เป็นกลิ่นของกลิ่นโกโก้เข้มข้น กลิ่นถั่วคั่ว และกลิ่นเครื่องเทศอุ่นๆ ก่อนจะค่อยๆ จางลงเป็นกลิ่นไม้ กลิ่นควัน และแทนนินที่ติดค้างอยู่ ความสมดุลที่แม่นยำของโกโก้และเนยโกโก้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ช่วยให้แน่ใจว่ามีอิมัลชันที่เสถียรซึ่งมอบทั้งความเข้มข้นของเนื้อสัมผัสและการปล่อยกลิ่นหอม ช่วยให้สารประกอบระเหยได้คละคลุ้งออกมาเมื่อช็อกโกแลตอุ่นขึ้นบนเพดานปาก องค์ประกอบทุกอย่างได้รับการออกแบบมาอย่างดี ตั้งแต่โครงสร้างโมเลกุลไปจนถึงการตอบสนองทางอารมณ์ สร้างสรรค์ทั้งรสชาติ และเป็นการบรรยายถึงรสสัสผัสที่ดื่มด่ำอย่างเต็มที่ ผ่านการชี้นำและตีความผ่านโครงสร้างของสมองมนุษย์และความรู้สึกของประสาทสัมผัสในมิติต่างๆ แบบแผนแห่งความสุขจากช็อคโกแลต การดื่มด่ำกับช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของ เลอ บอนเนอร์ อย่างแท้จริงนั้นเปรียบเสมือนการก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาอันเงียบสงบและความผ่อนคลายทางอารมณ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันแสนสั้นระหว่างความสง่างามและความใกล้ชิด ช็อกโกแลตที่เสิร์ฟมาในหม้อเคลือบพอร์ซเลนซึ่งให้สัมผัสที่อบอุ่นและสวยงาม เป็นดั่งเรื่องราวไม่ได้เริ่มต้นด้วยรสชาติ แต่เริ่มต้นด้วยความคาดหวัง เมื่อฝาเปิดขึ้นและไอน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ ห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่อบอวลขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นดอกไม้อันละเอียดอ่อน กลิ่นถั่วคั่วที่กลมกล่อม กลิ่นควันคล้ายใบชาดำ กลิ่นของโกโก้ และกลิ่นหอมอ่อนๆ จากความทรงจำ การรินช็อกโกแลตเป็นไปอย่างช้าๆ ราวกับริบบิ้นผ้าไหมเหลวเลื่อนลงไปในถ้วยที่รออยู่ พื้นผิวของถ้วยระยิบระยับด้วยความเข้มข้นอันเงียบสงบ ซึ่งภาพ กลิ่น และเสียงผสมผสานกันเพื่อประกาศการมาถึงของบางสิ่งที่พิเศษ จิบแรกจะเคลือบเพดานปากด้วยความอบอุ่นราวกับกำมะหยี่ ค่อยๆ เผยออกมาทีละชั้นๆ กลิ่นส้มอ่อนๆ กลิ่นคั่วอ่อนๆ และกลิ่นเครื่องเทศ ไม้ และความสบายจากหนังเก่า และหนังสือที่ผ่านกาลเวลา วิธีการดื่มด่ำกับรสสัมผัสที่น่าหลงใหลของช็อคโกแลตซิกเนอเจอร์ร้อน เลอ บอนเนอร์ ทุกรายละเอียดได้รับการออกแบบมาเพื่อเชิญชวนให้ใคร่ครวญ น้ำหนักของถ้วย ความร้อนที่ปลายนิ้ว วิธีที่ช็อกโกแลตเกาะติดริมฝีปากก่อนจะหายไป ไม่ว่าจะดื่มด่ำไปกับความฝันอันเลื่อนลอยหรือแบ่งปันกับจิตวิญญาณที่เหมือนกัน ประสบการณ์นี้ไม่เพียงแต่ให้คุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น แต่ยังมอบความรู้สึกสะท้อนใจอีกด้วย เป็นช่วงเวลาแห่งการชะลอความเร็ว การมีสติสัมปชัญญะ เพื่อดื่มด่ำกับสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นอย่างตั้งใจและมีความเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ในโลกที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว ช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของ เลอ บอนเนอร์ ขอเพียงสิ่งนี้ คือการหยุดนิ่ง ปล่อยให้ความเข้มข้นคงอยู่ ปล่อยให้ความอบอุ่นโอบล้อม ปล่อยให้เรื่องราวในทุกการจิบเผยออกมาอย่างชัดเจน คุณประโยชน์จากช็อคโกแลต แม้ว่าช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของเราจะเป็นผลงานชิ้นเอกที่มอบสัมผัสอันยอดเยี่ยม แต่คุณค่าของช็อกโกแลตไม่ได้มีแค่รสชาติเท่านั้น ดาร์กช็อกโกแลตคุณภาพสูงที่มีโกโก้เป็นส่วนผสมถึง 75% มอบรสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ และคุณค่าทางโภชนาการตามธรรมชาติที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ดาร์หช็อกโกแลตไม่เพียงแต่เป็นของที่น่าหลงใหลเท่านั้น แต่ยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างล้ำลึกอีกด้วย ดาร์กช็อกโกแลตอุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอพิคาเทชินและคาเทชิน ซึ่งจากเอกสารทางวิทยาศาสตร์พบว่าช็อกโกแลตนี้ช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดด้วยการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความดันโลหิต และปรับปรุงการทำงานของผนังหลอดเลือด โพลีฟีนอลเหล่านี้มีอยู่ในโกโก้โดยธรรมชาติ ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบภายในร่างกาย นอกจากหัวใจแล้ว ดาร์กช็อกโกแลตยังทำหน้าที่ช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย โดยมีสารประกอบต่างๆ เช่น ธีโอโบรมีน ฟีนิลเอทิลามีน และสารอานันดาไมด์ในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่เพิ่มขึ้น อารมณ์ดีขึ้น และแม้แต่ความรู้สึกสบายตัว การมีผลต่อระบบประสาทนี้สอดคล้องต่อการเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งระหว่างช็อกโกแลตกับความทรงจำ ความสงบของจิตใจ และความสมดุลทางอารมณ์ จากมุมมองด้านโภชนาการ ช็อกโกแลตมีแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง และแมงกานีส ซึ่งช่วยสนับสนุนทุกอย่างตั้งแต่การเผาผลาญพลังงานไปจนถึงความสมดุลทางระบบประสาท เมื่อบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเกิดผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ที่เลอ บอนเนอร์ เราโอบรับการผสมผสานระหว่างความสุขและจุดมุ่งหมายนี้ ทุกๆ สัมผัสของช็อกโกแลตร้อนสูตรพิเศษของเราไม่เพียงแต่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขเท่านั้น แต่ยังเป็นการเชิญชวนที่ดีต่อร่างกาย ยกระดับจิตใจ และยกย่องภูมิปัญญาโบราณที่ฝังอยู่ในเมล็ดโกโก้อันแสนเรียบง่าย ช็อกโกแลตร้อนนี้ไม่ใช่แค่สิ่งที่เพลิดเพลินเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่แทนความเชื่อใจ หวงแหน และหวนคิดถึง บทสรุป ช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ของเลอ บอนเนอร์นี้ เป็นมากกว่าเครื่องดื่ม แต่เป็นส่วนผสมที่มีชีวิตชีวาของความทรงจำ วิทยาศาสตร์ และจิตวิญญาณ รังสรรค์จากช็อกโกแลตจากแหล่งปลูกที่ขึ้นชื่อที่สุดของโลกใน 10ประเทศ นำเสนอในรูปแบบของดาร์กช็อคโกแลตที่มีปริมาณโกโก้ 75% โดยผสมผสานรสชาติจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลกเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเสียงแห่งความลุ่มลึก ความสง่างาม และความก้องกังวาน ช็อกโกแลตแต่ละแหล่งไม่เพียงแต่ให้รสชาติเท่านั้น แต่ยังให้เรื่องราวด้วย โดยผสมผสานเป็นรสชาติที่เริ่มจากความสดใสของดอกไม้ ไปจนถึงความเข้มข้นจากการคั่วและความอบอุ่นของโกโก้ ช็อกโกแลตนี้สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว รสชาติที่เริ่มต้นด้วยความสดใส ค่อยๆ เข้มข้นขึ้น และค่อยๆ จางหายไปเป็นความทรงจำที่คงอยู่ ช็อกโกแลตนี้ได้รับการนำทางโดยศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประสาทวิทยาและวิทยาศาสตร์แห่งการรับรู้รสชาติ โดยได้รับการออกแบบให้สัมผัสได้ในทุกส่วนของเพดานปากและทุกตัวรับความรู้สึก ทำให้ได้ประสบการณ์การชิมที่ทั้งน่าสนใจและเต็มไปด้วยความรู้สึก ช็อกโกแลตนี้เสิร์ฟในหม้อพอร์ซเลน ค่อยๆ เทใส่แก้วอย่างสวยงาม และจะอร่อยที่สุดเมื่อดื่มในช่วงเวลาที่เงียบสงบ ช็อกโกแลตนี้ไม่เพียงแต่เป็นความสุขต่อร่างกายและจิตใจ แต่ยังเป็นความสบายใจ วัฒนธรรม และงานศิลปะอีกด้วย ภายใต้ความหรูหราของเครื่องดื่มนี้ เต็มไปด้วยสารอาหาร เช่น ฟลาโวนอยด์ แร่ธาตุ และสารที่ช่วยปรับอารมณ์ที่มีรากฐานมาจากธรรมชาติ การดื่มเครื่องดื่มแต่ละครั้งไม่เพียงแต่ให้ความอบอุ่นเท่านั้น แต่ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย โดยผสมผสานประเพณีเก่าแก่หลายศตวรรษเข้ากับความเข้าใจของคนสมัยใหม่ที่ว่าความหรูหราที่แท้จริงจะหล่อเลี้ยงทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ การได้ลิ้มรสเครื่องดื่มนี้เปรียบเสมือนการเดินทางผ่านภูมิประเทศ การฟังความเงียบ การจดจำสิ่งที่ยังไม่ได้พูดออกมา นี่ไม่ใช่แค่ช็อกโกแลตร้อนเท่านั้น แต่มันคือซิมโฟนีในทุก ๆ สัมผัส ช็อคโกแลตซิกเนเจอร์ของเลอ บอนเนอร์ ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มธรรมดา ๆ แต่เป็นช่วงเวลา ความทรงจำ ราวกับบทบรรเลงเพลงซิมโฟนีในทุก ๆ สัมผัส ดื่มด่ำกับรสสัมผัสที่น่าหลงใหลได้แล้ววันนี้ที่ เลอ บอนเนอร์ ปาติสเซอรี Discover the essence of indulgence with our #SignatureHotChocolate —an experience crafted with precision, passion, and purpose at #LeBonheurPatisserie . A true #SipOfSophistication , this artisanal creation celebrates #CocoaCraftsmanship  and invites you on a #FlavourJourney  through rich, elegant notes of chocolate. From the first pour to the last lingering taste, it is a #SymphonyOfFlavours  that reflects the soul of #ArtisanChocolateExperience . Relish in the #LuxuryInACup  and immerse yourself in the #ArtOfChocolate , where every detail tells a story. #TasteTheStory   #HauteChocolaterie   #ChocolateArtistry   #IndulgeInElegance   #HotChocolateLovers   #CraftedByLeBonheur   #FineChocolate   #GourmetChocolate   #LeBonheurSignature

  • ศิลปะและจิตวิญญาณแห่งซาวโดว์

    ซาวโดว์ของเลอ บอนเนอร์ เป็นผลงานทรี่สะท้อนถึงความอดทน ความแม่นยำ และความหลงใหล ตั้งแต่การเลี้ยงยีสต์ธรรมชาติอย่างพิถีพิถันและเอาใจใส่ ผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายของธรรมชาติและศิลปะในการทำขนมปัง ความพิเศษของซาวโดว์ จาก เลอ บอนเนอร์ ซาวโดว์ของเราท้าทายด้วยความชื้นที่  85% (High Hydration) โดยใช้แป้ง 4 ชนิดที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ทั้ง แป้งขาวฝรั่งเศส แป้งโฮลวีต แป้งไรย์เต็มเมล็ด และแป้งข้าวบาร์เลย์อังกฤษ  ส่วนผสมเหล่านี้รวมกับน้ำแร่และเกลือทะเลหยาบจาก Guérande สร้างขนมปังที่มีความลึกซึ้ง เนื้อสัมผัส และลักษณะเฉพาะตัว “Where precision meets passion — the science of fermentation, the artistry of flavour. At Le Bonheur Pâtisserie, every sourdough loaf is a masterpiece, crafted from nature’s finest elements and perfected with time.” ทั้งหมดนำไปผ่านกระบวนการหมักอย่างช้าๆ ตามธรรมชาติ ไม่ใช้ยีสต์สำเร็จรูปในเชิงพาณิชย์ ระยะเวลานี้ไม่เพียงแต่พัฒนาขนมปังที่ดีต่อระบบย่อยอาหารและมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น แต่ยังเผยให้เห็นสัมผัสของธัญพืชที่มีความหอม มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย และความหวานจากธรรมชาติ ซึ่งนี่ลักษณะเฉพาะที่ทำให้ซาวโดว์ของเลอ บอนเนอร์ แตกต่างจากขนมปังทั่วไป สร้างด้วยมือ สมบูรณ์แบบด้วยเวลา อะไรทำให้ซาวโดว์ของเลอ บอนเนอร์ ไม่เหมือนใคร? • การผสมผสานแป้งสี่ชนิด: การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา — แป้งขาวฝรั่งเศส แป้งโฮลวีตเยอรมัน แป้งข้าวไรย์เต็มเมล็ด และแป้งข้าวบาร์เลย์อังกฤษ — มอบความซับซ้อนของรสชาติที่หาได้ยากในขนมปังหนึ่งก้อน • การหมักธรรมชาติล้วนๆ: ไม่มีทางลัด ไม่มีการประนีประนอม — มีเพียงความงามแท้ของการหมักธรรมชาติที่ได้รับการดูแลด้วยมือและสัญชาตญาณ • ความชื้นสูงอย่างเชี่ยวชาญ: ด้วยความชื้น 85% แป้งของเรามีเนื้อในที่โปร่งและเบา และเนื้อสัมผัสที่ชุ่มชื้นและละเอียดอ่อน ยกระดับทุกคำให้เป็นประสบการณ์ที่เฉพาะและน่าจดจำ • เวลาเป็นส่วนผสม: แป้งของเราได้รับเวลาในการหมักอย่างเพียงพอ บ่อยครั้งถึง 24 ชั่วโมง เพื่อให้รสชาติพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในปรัชญาของเรา เวลาไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นส่วนผสมที่สำคัญ • การอบด้วยหัวใจและวิทยาศาสตร์: แต่ละก้อนเป็นผลลัพธ์ของความสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างงานฝีมือและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของการหมัก สร้างความเป็นเลิศที่สม่ำเสมอ • รสสัมผัสที่มากขึ้น: เพื่อประสบการณ์ที่น่าจดจำ เราแนะนำให้ปิ้งซาวโดว์ของเราในเครื่องปิ้งขนมปัง ผลลัพธ์คือเปลือกที่กรอบและคาราเมลไลซ์ ห่อหุ้มเนื้อในที่นุ่มหนึบ มีกลิ่นหอม และอบอุ่น Two halves, one soul — a reflection of patience, craft, and nature’s quiet poetry. At Le Bonheur Pâtisserie, our sourdough is more than bread; it is a living art, shaped by time, guided by passion. เครื่องเคียงที่คัดสรรมาเพื่อเติมรสสัมผัสให้น่าหลงใหลยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความเพลิดเพลินในการลิ้มรสซาวโดว์ Le Bonheur ยังมีเครื่องเคียงที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน แต่ละรายการถูกสร้างขึ้นอย่างรอบคอบเพื่อเสริมลักษณะของขนมปังของเรา: • แยมสตรอเบอร์รี่วานิลลา  — แยมที่อัดแน่นไปด้วยความหวานของสตรอเบอร์รี่สุกและเสน่ห์จากกลิ่นหอมอ่อนๆ ของวานิลลา • พาเต้เดอฟัว  — สเปรดตับบด รสนุ่ม มีชั้นเจลลี่ของเบอร์รี่รสเปรี้ยวอ่อนๆ กับความหอมละมุนจากเนยเอชิเร่ชั้นเลิศจากฝรั่งเศส ที่ช่วยผสานและเติมเต็มรสสัมผัสที่ยอดเยี่ยม • คอนฟิทูร์ดูโซเลย์ปราศจากน้ำตาล  — ส่วนผสมหลักจากฟิกซ์ม่วงบอร์โดกับแอปริคอทตุรกี ปรุงโดยไม่เติมน้ำตาล ความหวานจากน้ำผึ้งป่าของประเทศไทย และความหอมที่น่าหลงใหลของเมล็ดตองกาจากบราซิล • เบิฟทรัฟเฟ่  — เนื้อวัวแองกัสผสมวากิวบดสูตรพิเศษของเลอ บอนเนอร์ ที่เสริมด้วยความหรูหราของทรัฟเฟิลขาว มอบความเข้มข้นและรสเค็มที่สมบูรณ์แบบ • ผักและแตงกวาดองสูตรลับของเลอ บอนเนอร์ — โดยใช้น้ำส้มหมักจากองุ่นขาวฝรั่งเศสและข้าวญี่ปุ่นสูตรเฉพาะ เพิ่มความสดชื่นและความเปรี้ยวที่สดใสให้กับความลึกของขนมปัง ซาวโดว์ของ Le Bonheur Pâtisserie ไม่ใช่เพียงขนมปัง แต่เป็นศิลปะที่มีชีวิต ซึ่งถูกหล่อหลอมด้วยเวลาและความหลงใหล ทุกก้อนเป็นราวบทกวีของธรรมชาติ สะท้อนถึงความอดทน งานฝีมือ และความรักที่เรามีต่อการทำขนมปัง Experience the soul of true sourdough — handcrafted with passion, fermented with patience, and baked to golden perfection. Awaiting you at Le Bonheur Pâtisserie. เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับซาวโดว์ของ เลอ บอนเนอร์ • มรดกที่มีชีวิต เลอแวงธรรมชาติของเราถูกดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วัน ราวกับเป็นสหายผู้เป็นที่รัก สะท้อนถึงสิ่งแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์ของครัวเรา ฤดูกาลที่เปลี่ยนไป และแม้แต่บทกวีที่มองไม่เห็นในสายลม • ซิมโฟนีแห่งรสชาติ โปรไฟล์ของซาวโดว์เราจะเปลี่ยนแปลงอย่างแผ่วเบาตามฤดูกาลและระดับความชื้น — จากโทนสว่างสดชื่นคล้ายส้มในช่วงฤดูร้อน ไปจนถึงโทนเข้มลุ่มลึกแบบมอลต์เมื่ออากาศเย็นลง • การจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเพียงแค่ปิ้งและทาด้วยเนย Échiré A.O.P. หรือจับคู่กับเครื่องเคียงโฮมเมดของเรา ทุกคำที่ลิ้มรสจะเผยให้เห็นมิติใหม่ของรสชาติและเนื้อสัมผัส • การสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน การใช้ยีสต์ธรรมชาติในการหมักไม่เพียงแต่เสริมสร้างรสชาติให้กับขนมปัง แต่ยังเป็นวิธีการอบขนมปังที่ยั่งยืนและอ่อนโยนต่อธรรมชาติ เคารพทั้งสิ่งแวดล้อมและประเพณี • ศิลปะแห่งความเรียบง่ายที่สูงส่ง ในยุคแห่งความเร่งรีบ การสร้างสรรค์ซาวโดว์แท้ๆ คือการแสดงออกถึงความทุ่มเทอันไร้กาลเวลา มันสอนให้เรารู้จักความอดทน ความใส่ใจ และความซาบซึ้งในทุกขั้น ในทุกก้อนขนมปังของเรา #LeBonheurPatisserie #LeBonheurSourdough #ArtisanBread #SourdoughArtisan #NaturallyLeavened #HandcraftedBread #SlowFermentation #BreadIsArt #TheArtOfBread #TasteThePassion #FlavoursOfMemory #SavourTheCraft #BakingWithSoul #ArtisanConserve #GourmetSpread #LuxuryGastronomy #TraditionAndInnovation #FromFlourToLoaf

  • Pain de Campagne - ขนมปังที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและมรดกทางประวัติศาสตร์

    Pain de Campagne หรือ “ขนมปังชนบท” ไม่ใช่แค่ขนมปังเพื่อการรับประทาน แต่ยังเป็นอาหารหลักที่มีคุณค่าทางโภชนาการและรากฐานทางประวัติศาสตร์อันลึกซึ้ง ด้วยการผสมผสานของวัตถุดิบจากธรรมชาติ และกระบวนการหมักซาวโดว์ที่มีมายาวนาน ขนมปังนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและเชื่อมโยงเรากับประเพณีการทำขนมปังที่ยาวนานหลายศตวรรษ เส้นทางประวัติศาสตร์ การทำขนมปังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์มานานกว่า 10,000 ปี และ Pain de Campagne ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบที่ยั่งยืนที่สุด ขนมปังชนบทนี้มีต้นกำเนิดในชนบทของฝรั่งเศส โดยอบในเตาอบส่วนรวม ด้วยส่วนผสมของธัญพืชที่ขึ้นอยู่กับผลผลิตท้องถิ่น จึงได้ขนมปังที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และสะท้อนถึง “เทอร์รัวร์” (ลักษณะเฉพาะของพื้นที่นั้น) ในยุคที่ยังไม่มีสารกันบูด การหมักซาวโดว์ของ Pain de Campagne ทำหน้าที่เหมือนสารกันบูดตามธรรมชาติ ทำให้ขนมปังนี้เก็บได้นานและกลายเป็นส่วนสำคัญของอาหารในชนบท แม้ในศตวรรษที่ 19 ยีสต์เชิงพาณิชย์จะทำให้ความนิยมในซาวโดว์ลดลง แต่ในศตวรรษที่ 20 Pain de Campagne ก็ได้รับการฟื้นฟู เมื่อผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพและมองหาขนมปังแบบดั้งเดิมและมีคุณภาพมากขึ้น ทุกก้อนของ Pain de Campagne เชื่อมโยงกับอดีต โดยหลายครอบครัวได้ถ่ายทอดสูตรเลอแวง (หัวเชื้อซาวโดว์) ผ่านหลายรุ่น เพื่อรักษามรดกของขนมปังที่ไร้กาลเวลานี้ Pain de Campagne as people embraced healthier and more artisanal bread options. Each loaf carries a connection to the past, with many families passing down their levain (sourdough starter) through generations, preserving the legacy and heritage of this timeless bread. คุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพ Pain de Campagne สูตรเฉพาะของเลอ บอนเนอร์นี้ ทำจากแป้งข้าวไรย์โฮลเกรน แป้งสาลีโฮลเกรน ข้าวบาร์เลย์ และแป้งขาว ผสมผสานกับเลอแวงธรรมชาติ ซึ่งให้ทั้งรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการที่ยอดเยี่ยม 1. แหล่งไฟเบอร์ที่อุดมสมบูรณ์ • ช่วยบำรุงระบบทางเดินอาหารและลำไส้: ไฟเบอร์จากธัญพืชเต็มเมล็ดช่วยส่งเสริมแบคทีเรียที่ดีในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูก • ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด: ไฟเบอร์ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 • ช่วยควบคุมน้ำหนัก: ไฟเบอร์ช่วยให้อิ่มนาน ลดการบริโภคแคลอรีโดยรวม 2. อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ • วิตามินบี1 (ไทอามีน): สำคัญต่อการผลิตพลังงานและสุขภาพระบบประสาท • วิตามินบี3 (ไนอาซิน): ช่วยบำรุงผิว ระบบประสาท และการย่อยอาหาร • แมกนีเซียม: มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ สุขภาพกระดูก และการเผาผลาญพลังงาน • สังกะสีและเหล็ก: เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยลำเลียงออกซิเจนในเลือด • แมงกานีส: ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างสุขภาพกระดูก 3. ดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI) • การหมักซาวโดว์ช่วยลดดัชนีน้ำตาลในขนมปัง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือมองหาพลังงานที่ยาวนาน 4. โปรไบโอติกและพรีไบโอติก • การหมักซาวโดว์เพิ่มโปรไบโอติกและพรีไบโอติกที่ช่วยทำให้ลำไส้และการย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น 5. อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและโปรตีน • ให้พลังงานที่ต่อเนื่องและช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ 6. กลูเตนที่ย่อยง่ายขึ้น • การหมักช่วยย่อยกลูเตนบางส่วน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไวต่อกลูเตนเล็กน้อย 7. มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง • การหมักเพิ่มศักยภาพของสารต้านอนุมูลอิสระในธัญพืช ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและลดการอักเสบ เคล็ดลับการเก็บรักษา เพื่อรักษาความสดใหม่ของ Pain de Campagne • อุณหภูมิห้อง:  เก็บในถุงกระดาษหรือกล่องขนมปัง เพื่อรักษาความกรอบของเปลือกได้นาน 2–3 วัน หลีกเลี่ยงถุงพลาสติก • ตู้เย็น:  ห่อด้วยผ้าสะอาดและเก็บได้นาน 1 สัปดาห์ อุ่นก่อนรับประทาน • ช่องแช่แข็ง: หั่นขนมปังเป็นแผ่นก่อนเก็บในถุงเก็บอาหารสำหรับแช่แข็ง เก็บได้นานถึง 3 เดือน การเปลี่ยนแปลงของรสชาติเมื่อเวลาผ่านไป Pain de Campagne อาจมีรสเปรี้ยวมากขึ้นเมื่อเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องหลายวัน เนื่องจากการหมักต่อเนื่องของยีสต์และแลคโตบาซิลัส อย่างไรก็ตามควรบริโภคหรือแช่แข็งภายใน 2-3 วันเพื่อรสชาติที่ดีที่สุด วิธีการเสิร์ฟที่แนะนำ • อุ่นขนมปังในเครื่องปิ้งไอน้ำเพื่อให้ได้เปลือกกรอบและเนื้อขนมปังนุ่ม • รับประทานคู่กับ สตรอว์เบอร์รีวานิลลาคอนเซิร์ฟ เพื่อเพิ่มความหวานหอมหวาน • จับคู่กับ พาเตเดอฟัว ตับบดสูตรเฉพาะของ เลอ บอนเนอร์ Pain de Campagne เป็นข้อพิสูจน์ถึงประเพณีที่มีมายาวนานหลายศตวรรษ แหล่งโภชนาการที่สำคัญ และเป็นรสสัมผัสในการเชื่อมโยงกับทั้งประวัติศาสตร์และสุขภาพ ไม่ว่าคุณจะลิ้มรสเฉพาะขนมปังเปล่า ๆ หรือรับประทานคู่กับเนยหรนือสเปรดที่คุณชื่นชอบ ทุกแผ่นของขนมปังนี้คือการเฉลิมฉลองงานฝีมือที่เต็มเปี่ยมด้วยความใส่ใจและความสมบูรณ์แบบทางโภชนาการ #PainDeCampagne #ArtisanBread #RusticBaking #CountryBread #SourdoughBread #WholeGrainGoodness #GutHealth #LowGlycemic #FiberPower #BreadHistory #FrenchTradition #HeritageBread #TimelessTaste #MadeWithLevain #SlowFermentation #HandcraftedBread #ToastTuesday #StrawberryVanillaConserve #PateDeFoie #Breadstagram #HomeBakersOfInstagram #BakingInspo #FoodieFavorites #PerfectPairings #SteamToasterMagic

  • วิธีการเตรียมและจัดเสิร์ฟแพร์โพชไวน์แดง

    ที่ Le Bonheur Pâtisserie เราเชื่อว่าอาหารทุกจานล้วนมีเรื่องราว และ La Poire Rouge ก็คือหนึ่งในเรื่องที่ราวที่แสนพิเศษนั้น ผลงานซิกเนเจอร์นี้ประกอบด้วยลูกแพร์โพชไวน์แดงที่จัดวางอย่างประณีตคู่กับครีมพีแคนสูตรเฉพาะ ซาบายอน และกลิ่นหอมที่เพิ่มความโดดเด่น ทั้งหมดผสมผสานกันอย่างลงตัวทั้งในเรื่องของเนื้อสัมผัสและรสชาติ ด้วยความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น เราภูมิใจที่จะนำผลงานชิ้นเอกนี้ส่งตรงถึงหน้าประตูบ้านของคุณ โดยจัดส่งทั่วประเทศผ่านระบบควบคุมอุณหภูมิ เพื่อให้คุณได้เพลิดเพลินกับ La Poire Rouge ได้ทุกเวลาที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสพิเศษหรือช่วงเวลาแห่งความสุขของตัวคุณเอง เรามั่นใจว่าคุณภาพและความสดใหม่ของลูกแพร์โพชไวน์แดงจะคงอยู่สมบูรณ์แบบตลอดเส้นทางจากครัวของเราไปถึงบ้านของคุณ วิธีการเตรียมและจัดเสิร์ฟ La Poire Rouge เพื่อความเพลิดเพลินของคุณ เมื่อพัสดุมาถึง โปรดนำส่วนผสมทั้งหมดแช่ตู้เย็นทันที เพื่อให้เย็นและเซ็ตตัวอย่างเหมาะสม ใช้เวลาประมาณไม่กี่ชั่วโมง 1. เตรียมครีมพีแคน: คน Pecan Crémeux ให้เนียนนุ่ม จากนั้นตักลงบนจานเพื่อเป็นฐาน 2. เพิ่มซาบายอน: ราด Zabaione Sauce สีแดงอมม่วงอ่อนที่มีเนื้อข้นลงบนครีมพีแคน และเกลี่ยให้ทั่วอย่างสวยงาม 3. เพิ่มรสชาติด้วยซอสและความกรอบ: ราด Red Wine Syrup รอบ ๆ ฐานครีม จากนั้นโรย Crunchy Pecan รอบ ๆ เพื่อเพิ่มความกรอบและรสชาติ 4. เตรียมลูกแพร์: ก่อนวางลูกแพร์บนจาน ให้ใช้กระดาษทิชชูสำหรับอาหารหรือผ้าสะอาดซับน้ำส่วนเกินออกเบา ๆ เพื่อไม่ให้จานดูเปียกเกินไป จากนั้นวางลูกแพร์ไว้ด้านบนของฐาน 5. เพิ่มความหอม (ตัวเลือกเสริม) : หากต้องการยกระดับประสบการณ์ จุดไฟที่แท่งอบเชยจนเกิดควันเล็กน้อย แล้วใช้ฝาแก้วโดมหรือฝาโปร่งใสครอบลงบนลูกแพร์ ปล่อยให้ควันอบอวลภายในเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมที่น่าหลงใหล อีกทางเลือกหนึ่ง คุณสามารถเพลิดเพลินกับส่วนประกอบแต่ละอย่างแยกกัน โดยจัดแต่งและโรยตามชอบ สัมผัสรสชาติทีละอย่างหรือรวมกันอย่างลงตัว Bon appétit! #LaPoireRouge #LeBonheurPâtisserie #DessertElegance #CulinaryArt #SignatureDessert #NationwideDelivery #DessertsAtYourDoorstep #LuxuryDelivered #FromOurKitchenToYours #HomeIndulgence #PoachedPear #PecanCream #RedWineSyrup #GourmetDesserts #ElegantDining #TreatYourself #CelebrationDesserts #FineDiningAtHome #PerfectForAnyOccasion #FoodieFavourites #BonAppetit #FoodLoversUnite #DessertInspo #IndulgenceRedefined #FlavoursOfLuxury

  • ขนมปังโฮลวีตเลอแวง: ความอร่อยที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการจากธรรมชาติ

    ขนมปังโฮลวีตเลอแวงของเราเป็นขนมปังที่ผลิตด้วยความพิถีพิถัน โดยใช้การผสมผสานแป้งคุณภาพสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เหนียวนุ่มและมีรสชาติซับซ้อน แป้งโฮลวีตที่ใช้ในสูตรนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีน และแร่ธาตุที่จำเป็น เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพ นอกจากนี้ เลอแวงธรรมชาติยังเพิ่มรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และมีโพรไบโอติกส์ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร ช่วยบำรุงสุขภาพของลำไส้ การหมักยังช่วยย่อยสลายกลูเตนบางส่วน ทำให้ขนมปังย่อยง่ายและอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความไวต่อกลูเตนเล็กน้อย (ขนมปังนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนอย่างรุนแรง) เชฟของเราได้เลือกใช้การผสมผสานของแป้ง 3 ชนิดอย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างรสชาติที่มีเอกลักษณ์ นำเสนอรสชาติที่ลึกซึ้งและมีความละเอียด โดยเลอแวงธรรมชาติช่วยเพิ่มความเข้มข้นและให้รสชาติที่สมดุลอย่างลงตัว มีสัมผัสของความเปรี้ยวเล็กน้อยและกลิ่นหอมที่ละเอียดอ่อน ทุกคำที่กัดจะมอบความรู้สึกอบอุ่นและเติมเต็ม ทำให้ขนมปังนี้เหมาะสำหรับการจับคู่กับทั้งอาหารคาวและหวาน คุณค่าทางโภชนาการและคุณสมบัติที่สำคัญ • ไฟเบอร์สูง: ช่วยในการย่อยอาหารและให้ความรู้สึกอิ่มท้องนาน • อุดมด้วยโปรตีน: สนับสนุนการรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มพลังงาน • มีแร่ธาตุที่จำเป็น: เช่น ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และสังกะสี ซึ่งจำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกันและการผลิตพลังงาน เลอแวงธรรมชาติไม่เพียงเพิ่มรสชาติ แต่ยังช่วยย่อยสลายกรดไฟติก ซึ่งอาจยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุในร่างกาย ทำให้ขนมปังนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำแนะนำในการเก็บรักษา • ที่อุณหภูมิห้อง : เก็บในถุงขนมปังหรือกล่องขนมปัง หากเก็บรักษาอย่างเหมาะสม ขนมปังจะอยู่ได้ถึง 3-5 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิในแต่ละช่วง • ในตู้เย็น : เก็บในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันการแห้ง ขณะเก็บในตู้เย็นอาจยืดอายุได้ถึง 1 สัปดาห์ แต่เนื้อสัมผัสอาจได้รับผลกระทบจากคการสูญเสียความชื้น ควรนำขนมปังมาที่อุณหภูมิห้องก่อนทาน • ในช่องแช่แข็ง : สไลด์เป็นแผ่นหรือตามขนาดที่ต้องการเพื่อความสะดวก จากนั้นเก็บในถุงแช่แข็งหรือภาชนะปิดสนิทได้นานถึง 3 เดือน หากต้องการละลาย ให้วางไว้ที่อุณหภูมิห้องหรือปิ้งได้ทันที ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ ขนมปังโฮลวีตเป็นหนึ่งในขนมปังชนิดแรกๆ ที่สร้างขึ้นโดยอารยธรรมโบราณ และเป็นที่ชื่นชมในคุณค่าทางโภชนาการของมัน แป้งโฮลวีตประกอบด้วยทุกส่วนของเมล็ดข้าว ไม่ว่าจะเป็นรำข้าว จมูกข้าว และเอนโดสเปิร์ม จึงให้สารอาหารมากกว่าแป้งที่ผ่านการขัดสี คำแนะนำในการเสิร์ฟ เพื่อความอร่อยอย่างสูงสุด ให้นำขนมปังไปปิ้งในเครื่องปิ้งไอน้ำจนได้เนื้อสัมผัสที่อุ่นและกรอบเล็กน้อย แล้วจับคู่กับสตรอว์เบอร์รี่แยมวานิลลาสูตรเฉพาะของเลอ บอนเนอร์ จะช่วยดึงรสชาติของขนมปังที่หอมและนุ่ม ให้สัมผัสที่ลงตัวอย่างยิ่ง ข้อมูลการแพ้ ขนมปังนี้มีส่วนผสมของกลูเตนและไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนหรือมีภาวะเซลิแอค ถึงแม้ว่ากระบวนการหมักจะช่วยลดกลูเตนบางส่วน แต่ไม่ได้กำจัดออกทั้งหมด ขนมปังโฮลวีตเลอแวงของเราเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพและมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ นำเสนอคุณภาพแบบดั้งเดิมและรสชาติที่เข้มข้นในทุกมื้อ ลองสัมผัสความอร่อยได้แล้ววันนี้ ! #WholeWheatLevain #ArtisanBread #NaturallyLeavened #HealthyBread #StrawberryVanillaConserve #LeBonheurPatisserie #FreshBaked

  • เวเนโต้กับการตีความใหม่ของทีรามิสุ ในแบบเฉพาะของ เลอ บอนเนอร์

    ทีรามิสุ จัดได้ว่าเป็นมรดกทางอาหารที่ยาวนานของอิตาลี อันมีเอกลักษณ์ที่ประกอบด้วยบิสกิตซาโวยาร์ดีที่นำไปจุ่มในกาแฟ มาสคาโปน และโกโก้ ซึ่งมีต้นกำเนิดที่ยังคงถกเถียงกันถึงแหล่งกำเนิดว่ามาจากเวเนโต้ หรือฟริอูลี-เวเนเซีย จูเลีย แต่ถึงกระนั้น ทีรามิสุก็เป็นขนมหวานที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกด้วยการผสมผสานรสชาติและสัมผัสอันน่าหลงใหลในแบบของอิตาลี ด้วยการดัดแปลงและสร้างสรรค์ในแบบของเลอ บอนเนอร์ จึงได้เกิดเมนูที่เรียกว่า “เวเนโต้” ขึ้น ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ของทีรามิสุแบบดั้งเดิม แต่ยังคงไว้ซึ่งรากเหง้าของขนมหวานนี้ ที่ผ่านการเล่าเรื่อง และผ่านการตีความใหม่ด้วยแรงบันดาลใจของเชฟ หากเปลี่ยนกับเพลง โน้ตตัวแรกที่เป็นองค์ประกอบในขนมนี้คือ Almond Genoise หรือเนื้อขนมที่ทำจากอัลมอนด์ที่แตกต่างจากเลดีฟิงเกอร์แบบดั้งเดิม นำไปแช่กับส่วนผสมของกาแฟอาราบิก้าไทยเข้มข้นและเหล้ากาแฟของแม็กซิโก ทำให้ได้ความเข้มข้นแต่มีความนุ่ม และมีชีวิตชีวาของกลิ่นอายที่แปลกใหม่ของการผสานรสชาตินี้ ในส่วนต่างๆ ที่ทำให้ได้รสชาติเฉกเช่นบทเพลงที่สมบูรณ์ เชฟได้รังสรรแต่ละชั้นของเวเนโต้นี้อย่างพิถีพิถัน ชั้นสีน้ำตาลอ่อนล่างสุด เป็นส่วนผสมของครีมชีสอิตาเลี่ยนแห่งแคว้นลอมบาร์ดี สัมผัสได้ถึงความเข้มข้นจากเอสเพรสโซ่เข้มข้มและความนุ่มนวลของกาแฟแม็กซิกันที่ผ่านการกลั่นแบบดั้งเดิม ชั้นบนสีขาวคือส่วนของครีมชีสลอมบาร์ดีผสานเข้ากับกลิ่นหอมอันเย้ายวนของรัมจาไมก้าสีเข้ม รวมเข้ากับความหอมวานจากวานิลลามาดากัสการ์ ราวกับรายละเอียดที่ซับซ้อนอันสมดุลระหว่างความน่าหลงใหลและความปราณีต ตัวโน้ตสุดท้ายที่เป็นดังท่อนหลังของเพลงอยุ่ชั้นของเจลลี่กาแฟ ที่มุ่งนำเสนอรสชาติของกาแฟอาราบิก้าที่ปลูกบนเทือกเขาของจังหวัดเชียงราย ตอนเหนือของประเทศไทย เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมการผสมผสานแห่งสัมผัสต่างๆ ระหว่างชั้นขนมแต่ละชั้น เพื่อสร้าางองค์ประกอบที่น่าประหลาดใจและท้าทายอย่างน่าพึงพอใจ ปิดท้ายด้วยรสเข้มข้นจากโกโก้แห่งกาน่า ตกแต่งด้วยช็อคโกแลตครันช์และฮาเซลนัท ซึ่งไม่เพียงแต่จะเพิ่มเสน่ห์ด้วยตาเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มเติมและนำเสนอความแตกต่างของเนื้อสัมผัสและรสชาติของช็อคโกแลต ที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนและการเอาใจใส่ของเชฟ เวเนโต้คือการจินตการใหม่ของเชฟที่เลอ บอนเนอร์ ทำให้สัมผัสที่ได้เป็นมากกว่าแค่ขนมหวาน แต่คือการเดินทางและการถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์เมนูที่ยังคงเคารพในต้นกำเนิดอย่างกล้าหาญ บอกเล่าเรื่องราวของความหลงใหล และการแสวงหาความแปลกใหม่ในรสสัมผัสที่แตกต่าง ณ สถานที่แห่งนี้ คือ ที่แห่งประสบการณ์ เปรียบเสมือนการเชิญชวนให้สัมผัสกับสิ่งที่คุ้นเคยในมุมมองใหม่ เริ่มต้นการเดินทางที่ข้ามผ่านสิ่งเดิมๆ เพื่อลิ้มรสความหลงใหลอันเป็นเอกลักษณ์และความสุขดังนิยามของเลอ บอนเนอร์ #LeBonheurPatisserie #VenetoReimagined #GlobalTiramisu #CulinaryAdventure #DessertInnovation #Tiramisu #CoffeeDessert

  • ดื่มด่ำไปกับสุนทรียะแห่งการผสมผสานหว่างดาร์กช็อคโกแลตและส้ม กับผลงานที่ชื่อว่า ‘เค้กช็อคโกแลตทรัฟเฟิลออเรนจ์’

    ในเรื่องราวแห่งขนมหวานที่ซึ่งความธรรมดากลายเป็นความพิเศษ ความคุ้นเคยถูกผสมผสานเข้ากับนวนิยาย จึงเกิดเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์ ดังตัวละครที่มีความสวยงามและซับซ้อน เฉกเช่นเมนูที่ชื่อว่า ‘Truffles au Chocolat et à l’Orange’ หรือ ‘เค้กช็อคโกแลตทรัฟเฟิลออเรนจ์’ ที่เปรียบเสมือนการเดินทางของรสสัมผัสที่สร้างความประทับใจให้ผู้คนได้อย่างไม่รู้ลืม ผลงานชิ้นนี้คือความลงตัวอย่าสมบูรณ์แบบของดาร์กช็อคโกแลตและส้ม เป็นการจับคู่แบบที่คุ้นเคย แต่เพิ่มเติมด้วยความลึกและความมีชีวิตชีวาแห่งรสชาติในแบบของเลอ บอนเนอร์ ที่รังสรรให้เค้กช็อคโกแลตมีความชุ่มฉ่ำและหรูหรา มีชั้นของคัสตาร์ดส้มเนื้อนุ่ม ที่ใช้ส่วนผสมจากส้มแมนดารินที่ดีที่สุดและเปลือกส้มที่มีกลิ่นหอมเย้ายวนใจจากตุรกี การผสมผสานอันปราณีตของผลไม้ตระกูลส้มเมื่อรวมเข้ากับ Grand Marnier คอนญัคส้มที่ได้รับการยกย่องกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานย้อนกลับไปถึงปี 1880 โดย Alexandre Marnier-Lapostolle Grand Marnier ที่นำเอาความซับซ้อนของการเตรียมคอนญัคกับการสกัดกลั่นของส้มและนำตาล กลายเป็นสัมผัสที่ละเอียดอ่อน มีกลิ่นหอมที่ช่วยยกระดับของหวานให้มีความหรูหราและน่าอภิรมย์ เมื่อกล่าวถึงดาร์กช็อคโกแลต ส่วนผสมที่เปรียบดังเช่นตัวละครหลักสำคัญ เชฟได้เลือกใช้ดาร์กช็อคโกแลต ระดับ Grand Cru จากแหล่งปลูกเดียว (Single Origin) ที่ได้รับการดูแลแบบออแกนิค จากเมล็ดพันธุ์โกโก้ชนิดพิเศษที่ปลูกในดินแดนอันสมบูรณ์ของเมือง Puira ประเทศเปรู ซึ่งช็อคโกแลตนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านระบบการค้าที่เป็นธรรมและผลผลิตออแกนิคที่ดีที่สุดที่ได้รับการรับรองจาก NOP สิ่งที่เพิ่มความซับซ้อนและเข้มข้นให้กับขนมชิ้นนี้คือผงโกโก้ ซึ่งเป็นผงโกโก้ที่ได้มาจากเมล็ดโกโก้อันเลื่องชื่อของประเทศกาน่า รสชาติเข้มข้น หนักแน่น ให้สีแดงไม้มะฮอกกานี ที่นำมาโรยลงบนเค้กช็อคโกแลตจนหนาแบบช็อคโกแลตทรัฟเฟิล ส่วนสำคัญสุดท้ายของความพิเศษนี้คือส้มออสเตรเลียคัดพิเศษ ที่ถูกนำมาหั่นเป็นชิ้นแล้วนำไปเชื่อมเป็นเวลานานหลายชั่วโมง เพิ่งกลิ่นสัมผัสอันหอมหวานด้วยฝักวานิลลามาดากัสการ์ ที่เติมเต็มความซับซ้อนต่างๆ ให้น่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น เป็นส่วนสุดท้ายที่ทำให้เมนูช็อคโกแลตทรัฟเฟิลออเรนจ์นี้กลายเป็นเมนูที่มากล้นไปด้วยรายละเอียดที่สร้างสรรค์ หรูหรา และน่าหลงใหลเกินจะต้านทาน โดยเฉพาะเมื่อได้สัมผัสการผสานรสชาติที่ลงตัวในแต่ละชั้นอย่างน่าอัศจรรย์ ความเข้มข้นของดาร์กช็อคโกแลต ตัดกับความหวานและความเปรี้ยมของส้ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากวานิลลาและคอนญัค และความขมเข้นจากผงโกโก้ ราวกับเป็นการเดินทางเพื่อประสบการณ์ของรสชาติที่ยากจะลืมเลือน #TrufflesAuChocolateEtALOrange #CulinaryMasterpiece #DarkChocolateOrangeBliss #GrandMarnierElegance #ValrhonaChocolatePerfection #SustainableIndulgence #GourmetDessertExperience

  • ประสบการณ์แห่งบากาเตล ที่ เลอ บอนเนอร์

    ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘บากาเตล’ เป็นขนมหวานที่เชฟได้รับแรงบันดาลใจมาจากขนมหวานของ Gaston Lenôtre เชฟชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก โดยผสานองค์ประกอบด้วยวัตถุดิบต่างๆ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวในแบบของ เลอ บอนเนอร์ นำเสนอรสชาติของบากาเตลนี้ในแบบเฉพาะของตัวเอง จนสามารถดึงดูดและสร้างความประทับใจให้กับใครต่อใครที่มาเยือนได้ โดยเฉพาะเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติและสัมผัสที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เปรียบเสมือนการเดินทางผ่านศิลปะแห่งขนมอบฝรั่งเศส หัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์รสชาติอันน่าพิสมัยนี้คือ Pistachio Genoise เป็นเนื้อขนมที่ทำจากพิสตาชิโอที่ปลูกในประเทศอิหร่าน ได้ชื่อว่าเป็นพิสตาโอที่ดีที่สุดในโลก ด้วยรสชาติเข้มข้นและสีเขียวสด ที่เชฟของเลอ บอนเนอร์ ได้เปลี่ยนให้กลายเป็นเนื้อขนมที่ทั้งเบา นุ่มนวล น่ารับประทาน เป็นสัมผัสของขนมหวานที่มีกลิ่นและรสสัมผัสเฉพาะตัวในทุกคำที่ลิ้มลอง ถัดมาคือชั้นสีแดงแวววาวที่มีรสชาติหอมหวาน มีความเปรี้ยวและความสดชื่นที่ตัดกับรสชาติของชั้นขนมสีเขียว นั่นคือ Strawberry Gelée ที่ราวกับอัญมณีแห่งรสสัมผัสที่ซ่อนความน่าหลงใหลเอาไว้ได้อย่างลงตัว อีกหนึ่งสัมผัสที่นุ่มละมุนคือชั้นครีมวานิลลาที่กระซิบเรื่องราวของดินแดนอันห่างไกล ของวานิลลาจากป่าฝนอันเขียวชอุ่มของมาดากัสการ์ ที่ได้จากฝักวานิลลาสีดำเข้ม มีรสชาติที่ซับซ้อนและเข้มข้นอันเป็นผลมาจากการเติบโตตามธรรมชาติและการเอาใจใส่อย่างระมัดระวัง อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอบอุ่นที่ในทุกๆ สัมผัสเกิดจากคุณค่าทางธรรมชาติของมาดากัสการ์ นอกจากนั้นความลับที่เชฟได้ซ่อนเอาไว้คือเสียงกระซิบอันแผ่วเบาของดอกชบาฝรั่งเศส ที่เพิ่มความซับซ้อนและน่าหลงใหลด้วยดอกไม้ ผสานเข้ากับรสชาติต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ยากจะคาดเดาจนน่าประทับใจ เพื่อให้งานศิลปะแห่งขนมฝรั่งเศสนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น บากาเตลได้รับการตกแต่างด้วยสตรอวเบอร์รี่สดสุดพิเศษตามฤดูกาล ผ่านการคัดสรรมาในทุกขั้นตอน จนได้ผลสตรอวเบอร์รี่สีแดงสด เนื้อสัมผัสชุ่มฉ่ำ มีความสมดุลระหว่างความหวานและความเปรี้ยวที่ลงตัว จนเปรียบตัวฝีแปรงสุดท้ายบนผลงานชิ้นเอก ที่เพิ่มสีสัน ความสดชื่น ชวนให้ลิ้มลองและหลงรักอย่างแท้จริง บากาเตลนั้นไม่ต่างอะไรกับประสบการณ์แห่งรสชาติที่จะพาคุณไปสู่โลกที่ส่วนผสมแต่ละอย่างคอยบอกเล่าเรื่องของตัวเอง ตั้งพิสตาชิโอจากดินแดนทะเลทรายแห่งตะวันออกกลาง และวานิลลาที่หอมหวานจากป่าฝนแห่งเกาะในทวีปแอฟริกา เรื่อยไปจนถึงกลิ่นอันเป็นความลับของดอกชบาฝรั่งเศส ทุกองค์ประกอบของบากาเตลคือเครื่องพิสูจน์ถึงการสร้างสรรค์แห่งศิลปะการทำขนมโดยเชฟของเลอ บอนเนอร์ ที่จะนำพาคุณให้เริ่มต้นการผจญภัยและสัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่างด้านขนมหวานแบบฝรั่งเศสที่น่ารื่นรมย์และน่าจดใจ #LeBonheurPatisserie #Bagatelle #GourmetDessert #PistachioGenoise #StrawberryGelee #VanillaBavarois #MadagascarVanilla #HibiscusWhisper #DessertLovers #PastryArt #CulinaryJourney #TasteTheArt #FoodieAdventure

  • จากต้นกำเนิดสู่การรังสรรแบล็คฟอเรสท์ในแบบเฉพาะตัวของ เลอ บอนเนอร์

    ป่าแบล็คฟอเรสต์คือจุดเริ่มต้นของหนึ่งในขนมหวานที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ผ่านการสืบต่อและถ่ายทอดออกมาหลากหลายรูปแบบจากเชฟที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่นเดียวกับเลอ บอนเนอร์ ที่ซึ่งเชฟได้รังสรรเค้กแบล็คฟอเรสต์นี้ออกมาตามแบบฉบับเฉพาะตัวด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ ยังคงไว้ด้วยแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดด้วยองค์ประกอบหลักอย่างครบถ้วน ผ่านการคัดสรร แสวงหาวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อสร้างสรรค์ขนมหวานชิ้นนี้ขึ้นมาใหม่ ด้วยความปรารถนาที่จะนำเสนอความพิถีพิถันแห่งรสชาติ และจิตวิญญาณของสุนทรียะแห่งขนมหวานที่เรียกว่า ‘เค้กแบล็คฟอเรสต์’ และนี่คือเรื่องราวของขนมหวานนี้ในรูปแบบของ เลอ บอนเนอร์ ภายใต้ความอุดมสมบูร์และร่มเงาแห่งป่าทางตะวันเฉียงใต้ของประเทศเยอรมันนี สถานที่ซึ่งจิตวิญญาณของเค้กแบล็คฟอเรสต์ได้ถือกำเนิดขึ้น คือ Kirschwaẞer หรือบรั่นดีที่ใสราวคริสตัล เฉกเช่นท่วงทำนองที่ขับขานถึงฤดูกาลแห่งการผลิบานของเชอร์รี่ป่าและกลิ่นหอมเย้ายวนที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเชฟได้นำความพิเศษของกลิ่นสัมผัสนี้มาผสมอยู่ในชั้นสีขาวดุจหิมะบนยอดเขา เปรียบเสมือนแก่นแท้แห่งแบล็คฟอเรสต์ ที่คอยย้ำเตือนดังสิ่งเตือนใจถึงต้นกำเนิดแห่งขนมหวานนี้ เชอร์รี่สีแดงเข้มเปรียบเสมือนหัวใจแห่งเรื่องราวทั้งหมด รสสัมผัสหอมหวาน ที่เชฟเพิ่มความแตกต่างที่น่าหลงใหลด้วยเชอร์รี่ลูกเล็กของฝรั่งเศสที่นำไปแช่ใน Eau de Vie คล้ายกับการเต้นรำสอดประสานของรสสัมผัสที่บ่งบอกถึงความรัก ความปรารถนา ความหอมหวาน และความแข็งแกร่ง ราวกับสวนแห่งรสชาติที่รอการค้นพบ ลองจินตนาการถึงชั้นเนื้อเค้กช็อคโกแลตที่สีเข้มราวกับยามค่ำคืนอันเงียบสงบ สัมผัสแห่งผืนดินที่ห่างไกล ผ่านการถ่ายทอดรสสัมผัสด้วยโกโก้ที่ถือกำเนิดขึ้นบนดินแดนประวัติศาสตร์ของประเทศกาน่า ที่ได้รับการดูแลมานานหลายศตวรรษ ราวกับเสียงกระซิบถึงความลับของรุ่งอรุณและนิทราที่ยาวนาน ข้ามห้วงมหาสมุทรและกาลเวลา ความน่าดึงดูดใจบนเส้นทางที่ตัดผ่านป่าเมื่อต้องแสงจันทร์ยามราตรี ดาร์กช็อคโกแลตคือสัมผัสที่เติมเต็มความสมบูรณ์แบบของการเดินทาง เมื่อรวมกับสีแดงราวทับทิมที่เปล่งประกายภายใต้มนต์สะกดของ Griottines และ Morello Cherry Gelée สายน้ำและลำธารที่ถูกถ่ายทอดผ่านซอสช็อคโกแลตรสเข้มที่ราดสลับอยู่บนเค้กแบล็คฟอเรสต์ จากการผสมผสานรสสัมผัสของดาร์กช็อคโกแลตจากหลายแหล่งปลูกบนผืนดินที่ต่างกัน ผ่านเรื่องราวและห้วงฤดูกาลที่ยาวนานเฉพาะตัว ขับขานเป็นท่วงทำนองดังเครื่องดนตรีหลากชิ้น ที่สร้างการสอดประสานเมื่อบรรเลงร่วมกันอย่างน่าอัศจรรย์ สัมผัสสุดท้ายของโกโก้นิบส์ที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับการเดินทางนี้ เฉกเช่นความขรุขระบนเส้นทางในป่า ที่เป็นสิ่งเตือนใจถึงหนทางอันยาวไกล แต่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความทรงจำมากมาย มีผงโกโก้ที่ถูกโรยไว้บนจานราวกับสายลมที่พัดผ่าน ประดับตกแต่งด้วยใบไม้สีแดงที่ร่วงหล่นราวเสียงกระซิบบนการเดินทางแห่งรสชาติยาวนานของแบล็คฟอเรสต์ สำหรับเชฟแล้วนั้น เค้กแบล็คฟอเรสต์ที่ เลอ บอนเนอร์ เป็นมากกว่าแค่เค้กที่เสิร์ฟบนจาน แต่คือเรื่องราวที่แต่ละชั้นเปรียบเสมือนบทหนึ่งๆ ในนวนิยายที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างปราณีตและลึกซึ้ง ถักทอออกมาเป็นเรื่องราวของรสชาติและเนื้อสัมผัส ผ่านส่วนผสมแต่ละอย่างที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ละเทคนิคที่เปรียบเช่นการหักมุมของการเล่าเรื่อง ขณะที่คุณลิ้มรสของเค้กแบล็คฟอเรสต์จากเลอ บอนเนอร์ ลองจินตนาการถึงการเดินทางในป่าแบล็คฟอเรสต์เมื่อยามราตรี เนื้อขนมเป็นดังผืนป่า ชั้นครีมสีขาวป็นราวหมอกสีขาวผ่านพัดผ่านต้นไม้แต่ละต้น ลายบนชิ้นขนมเปรียบเสมือนสายธารน้ำที่ไหลเอื่อย ผงโกโก้ โกโก้นิบส์คล้ายกับก้อนหินบนเส้นทางที่คอยย้ำเตือนถึงการเดินทาง สัมผัสแห่งเชอร์รี่และ Kirschwaßer บอกเล่าเรื่องราวของหุบเขาที่ซ่อนตัวอยู่ใต้แสงจันทร์จนกลายเป็นความทรงจำ ให้รสสัมผัสของเค้กแบล็คฟอเรสต์นี้ได้นำพาคุณไปสู่อีกโลก โลกที่ทุกๆ คำในสัมผัสนั้นคือการผจญภัยผ่านการรังสรรขนมหวานนี้ด้วยฝีมือที่ปราณีตและพิถีพิถัน ผ่านจิตวิญญาณของเชฟที่กลายเป็นเรื่องราวของนวนิยายแห่งรสชาติที่รอคอยการค้นพบ #EnchantedBlackForestCake #LeBonheurPatisserieMagic #GhanaianCocoaJourney #KirschwasserCharm #CherryDelightTales #CulinaryFairyTale #TasteTheLegend #ArtisanalBakingStory #SensoryAdventureSlice #PatisserieFantasy #Lebonheurpatisserie

  • ค้นพบเสน่ห์ของเค้กมะพร้าวบาวาเรียน ไร้กลูเตน (Gluten-Free) จาก เลอ บอนเนอร์

    เค้กมะพร้าวบาวาเรียนของ เลอ บอนเนอร์ ถือได้ว่าเป็นการรังสรรขนมหวานที่เลอค่าดังเช่นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยความเรียบง่ายและเปี่ยมไปด้วยความน่าสนใจที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเสน่ห์ที่ว่านั้นอยู่ที่ความเรียบง่ายของภาพลักษณ์สีขาว รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ชวนให้นึกถึงความบริสุทธิ์และเรียบง่าย แต่อย่าปล่อยให้ภาพลักษณ์ที่ว่านั้นลวงคุณได้ เพราะขนมหวานชิ้นนี้มีพลังที่จะดึงดูดใจให้ใครต่อใครหลงรักและมีความสุขเมื่อได้สัมผัสกับความละเมียดละไมของเมนูเค้กมะพร้าวบาวาเรียนจาก เลอ บอนเนอร์ เค้กมะพร้าวบาวาเรียนรังสรรขึ้นด้วยความตั้งใจในการมอบสัมผัสอันปราณีตของรสชาติที่น่าหลงใหล กับเนื้อสัมผัสที่ละลายในปาก ผสมผสานกับความนุ่มนวลที่แตกต่าง ซึ่งความพิเศษและความลับของขนมชิ้นนี้คือความมุ่งมั่นของเชฟในการสร้างสรรค์ความธรรมดาของเค้กมะพร้าวให้มีเสน่ห์ที่แปลกใหม่ แตกต่าง และน่าจดจำ หัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์อันน่ารื่นรมย์นี้ คือ มะพร้าวไทย ที่เป็นเช่นอัญมณีของผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวจากจังหวัดนครปฐม ที่ให้กลิ่นสัมผัสหอมหวาน เข้ามาสร้างรสชาติให้กับเค้กมะพร้าวนี้ ผสานเข้ากับความมุ่งมั่นในการรังสรรเมนูขนมหวานเพื่อสุขภาพและเปี่ยมล้นไปด้วยคุณภาพ เชฟเอิร์ลแห่งเลอ บอนเนอร์ได้เลือกใช้แป้งมะพร้าวออแกนิคแทนแป้งสาลีเป็นส่วนผสมของเนื้อขนม ผสมผสานเข้ากับอัลมอนด์ที่ผ่านการบดละเอียดจากเมืองโพรวองซ์ ประเทศฝรั่งเศส จนได้เนื้อขนมที่ทำจากมะพร้าวและอัลมอนด์ ซึ่งเป็นการสร้างอัตลักษณ์ที่ยอดเยี่ยมเพื่อประสบการณ์การทำขนมที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง ในเนื้อขนมของเค้กมะพร้าวนี้ เชฟเอิร์ลได้ดัดแปลงการทำขนมแบบดั้งเดิม โดยเปลี่ยนจากการใช้เนยมาใช้น้ำมะพร้าวสกัดเย็นที่ผ่านการกลั่น ที่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมหวานนี้ แต่ยังช่วยเพิ่มโอเมก้า 3, 6, และ 9 และยังสร้างความนุ่มเนียนที่น่าหลงใหลได้อย่างน่ามหัศจรรย์ นอกจากนั้นเชฟยังใส่ส่วนผสมพิเศษที่ช่วยเติมรสและกลิ่นสัมผัสให้กับเค้กมะพร้าวบาวาเรียน ราวกับเสียงกระซิบจากสายลมเขตร้อนและชายฝั่งแห่งแคริบเบียน เพื่อเพิ่มรสสัมผัสที่ชวนหลงใหล เติมสัมผัสที่ล้ำลึกให้กับรสของมะพร้าว ถักทอความพิเศษและยกระดับเค้กมะพร้าวนี้ขึ้นไปอีกขั้น เลอ บอนเนอร์ อยากชวนคุณให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ของเค้กมะพร้าวบาวาเรียน ขนมหวานที่เหนือความธรรมดา ที่มิใช่เพียงเค้กเท่านั้น แต่เป็นการเสพสุนทรียะแห่งความพิเศษ สัมผัสการเดินทางแห่งรสชาติ และการตระหนักถึงศิลปะแห่งการทำขนม ร่วมดื่มด่ำไปกับหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมนี้ ซึ่งในทุกๆ คำ คือการบอกเล่าเรื่องราว ความน่าหลงใหล ความเป็นมา และความสุขจากขนมหวานชิ้นนี้ที่ชื่อว่า ‘เค้กมะพร้าวบาวาเรียน’ จาก เลอ บอนเนอร์ #LeBonheurPatisserie #BavaroisAuCoco #BavarianCoconutCake #ThaiCoconut #GlutenFreeDessert #GourmetPatisserie #ArtisanDesserts #CoconutDelight #CulinaryArt

  • เนยเอชิเร่ แก่นแท้ของมรดกทางศิลปะและความเป็นเลิศด้านการทำอาหารของฝรั่งเศส

    ความลับในการรังสรรอาหารและขนมหวานที่สมบูรณ์แบบด้วยเนยเอชิเร่ เลอ บอนเนอร์ ร้านขนมฝรั่งเศสใจกลางเมืองจังหวัดอุดรธานี คือสถานที่ที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เมนูต่างๆ เพื่อความยอดเยี่ยมแห่งรสชาติ หนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่เชฟเลือกใช้ คือ เนยจากเอชิเร่ ซึ่งได้รับการยกย่อว่าเป็น ‘ราชินีแห่งเนย’ ที่โดดเด่นในเรื่องของคุณภาพที่หาใดเปรียบได้ ด้วยรสชาติของเนยชั้นเลิศจึงเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นแก่นแห่งรสสัมผัสของขนมอันเลิศรสของเลอ บอนเนอร์ ด้วยสูตรขนมที่รังสรรขึ้นอย่างพิถีพิถัน   ผสมผสานกับความเชี่ยวชาญของเชฟ จนทำให้ได้ความลงตัวอย่างน่ามหัศจรรย์ เมื่อรวมเข้ากับคุณลักษณะเฉพาะของเนยเอชิเร่ ส่งผลให้ได้รสสัมผัสที่กลมกลืนกันอย่างปราณีตที่ดึงดูดประสาทสัมผัส การผสานที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันนี้เป็นมากกว่าความสุขในการทำขนมหรืออาหาร แต่เป็นข้อพิสูจน์แห่งความทุ่มเทของในการรักษาวัฒนธรรมทางรสสัมผัสและส่งมอบคุณภาพที่เหนือชั้นให้กับลูกค้าที่ทรงคุณค่าของเลอ บอนเนอร์ ความเป็นเลิศที่รังสรรขึ้นตั้งแต่ปี 1891 ในหมู่บ้านเอชิเร่ (Échiré) ประเทศฝรั่งเศส ริมแม่น้ำ Sèvre Niortaise อันเงียบสงบ คือสถานที่ซึ่งการผลิตเนยได้รับการยกระดับขึ้นให้เป็นดังงานศิลปะ นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี พ.ศ.2434 โดย Mr. Du Dresnay เนยเอชิเร่ก็มีความหมายเฉกเช่นหนึ่งในองค์ประกอบทางการทำอหารและความเป็นเลิศของฝรั่งเศส จนทำให้ได้รับสมญานามอันทรงเกียรติว่าเป็น ‘ราชินีแห่งเนย’ การถือกำเนิดของสัญลักษณ์แห่งการทำอาหาร ผลิตภัณฑ์นมเอชิเร่เปลี่ยนเป็นสหกรณ์ในปี พ.ศ. 2437 และได้ผลิตเนยคุณภาพสูงโดยการนำกรรมวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยการปั่นด้วยถังไม้สัก เพื่อให้ได้เนยที่มีเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งการผลิตเนยให้ได้ 1 กิโลกรัมนั้นจะต้องใช้น้ำนมจากวัวกว่า 22 ลิตร ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงคุณภาพที่หาใครเปรียบได้ในกระบวนการผลิต ความลับเบื้องหลัง ‘ราชินีแห่งเนย’ รสชาติและเนื้อสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ของเนยเอชิเร่เกิดจากการบ่มเนยจนได้ที่ โดยใช้เวลานานกว่า 18 ชั่วโมง ในกระบวนการผลิตประกอบกับการปั่นอย่างพิถีพิถันด้วยเวลาสองชั่วโมงครึ่งในถังไม้สัก ทำให้ได้เนยที่นุ่ม มีรสสัมผัสคล้ายฮาเซลนัท ผู้เชี่ยวชาญในการผลิตเนยของเอชิเร่คือผู้ที่จะคอยดูแลในขั้นตอนนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเนยที่ได้ออกมานั้นเป็นไปตามมาตรฐานของเอชิเร่ ความร่วมมือเพื่อความยั่งยืน ในปี 1997 การควบรวมกิจการของ Échiré Dairy กับผู้ผลิตชีส Sèvre & Belle ถือเป็นก้าวสำคัญสู่แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน พวกเขาได้จัดทำกฎบัตรคุณภาพสำหรับการผลิตนม โดยมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยของอาหาร สวัสดิภาพสัตว์ การเคารพสิ่งแวดล้อม และความมุ่งมั่นที่ไม่ใช่จีเอ็มโอ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาคุณภาพของเนย Échiré การยอมรับในระดับโลกที่มีรากฐานมาจากท้องถิ่น เนยเอชิเรยังคงรักษารากฐานที่แข็งแกร่งของท้องถิ่นไว้ได้ แม้ว่าจะใช้บนโต๊ะอาหารและห้องครัวทั่วโลกก็ตาม Coopérative Laitière de la Sèvre ซึ่งมีฟาร์มแพะและวัว 120 แห่ง รับประกันว่านมสำหรับเนย Échiré มาจากท้องถิ่น พื้นที่อันเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อคุณภาพของนม เพื่อรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของเนย เรื่องราวเบื้องหลังคุณภาพ แก่นแท้ของเนยเอชิเรยังอุดมไปด้วยเรื่องราวของผู้ผลิตในท้องถิ่นและแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน ตั้งแต่อาหารที่ไม่ใช่จีเอ็มโอ อาหารปราศจากน้ำมันปาล์ม ไปจนถึงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และสวัสดิภาพสัตว์ ฟาร์มแบบครอบครัวเหล่านี้มีส่วนอย่างมากต่อคุณภาพของนม การรับรองความเป็นเลิศ ในปี 2013 ไซต์ Échiré ได้รับการรับรองจาก IFS ซึ่งยืนยันถึงความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การรับรองนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความยึดมั่นในมาตรฐานสูงสุดด้านความปลอดภัยและคุณภาพอาหารของ Échiré การสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นยังคงดำเนินต่อไป เนยเอชิเรมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน วิธีการผลิตแบบช่างฝีมือ และความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืน ที่เป็นมากกว่าแค่ความสุขในการทำอาหาร แต่สิ่งเหล่านี้ยังถือว่าเป็นมรดกแห่งความเป็นเลิศทางศิลปะของฝรั่งเศส โดยแสดงถึงความทุ่มเทและฝีมือที่จำเป็นในการผลิต 'ราชินีแห่งเนย' แต่ละองค์ประกอบของเนย Échiré บอกเล่าเรื่องราวของประเพณี คุณภาพ และรสชาติที่อยู่เหนือความสามัญ ที่ซึ่งยังคงดึงดูดนักชิมและเชฟทั่วโลกอย่างมหัศจรรย์ #ÉchiréButter #CulinaryExcellence #LeBonheurPâtisserie #GastronomicTradition #ArtisanalQuality #UnparalleledFlavour #HandpickedIngredients #ChefCrafted #BakedToPerfection #DelightfulCreations

จันทร์-อาทิตย์

10.00 - 19.00 น

569/3 ซอยจักรแก้ว 3 ถนนอำเภอ

ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี

จังหวัดอุดรธานี 41000 TH

ติดตาม

  • Facebook
  • Instagram
  • Line

© 2023 โดย LE BONHEUR PÂTISSERIE

bottom of page